พูดถึงปัญหาระบบขับถ่าย โรคยอดนิยมคงจะหนีไม่พ้น “ริดสีดวง” แต่โรคนี้เชื่อเถอะคงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เพราะมันส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก แม้จะนั่งเฉยๆ ก็ยังลำบาก
อาการของโรคริดสีดวง – โรคริดสีดวงมีทั้งภายนอก และภายใน ซึ่งแต่ละบุคคลจะปรากฏอาการออกมาต่างกัน อาการเกิดจากการขยายตัวของหลอดเลือดดำที่มีภาวะความดันสูง โดยจะแสดงอาการดังนี้
- มีความผิดปกติในช่องท้อง รู้สึกเจ็บๆ คันๆ
- ในระยะแรก จะสังเกตว่ามีเลือดติดกระดาษชำระหลังอุจจาระ หรือเคลือบอุจจาระออกมา และจะเพิ่มอาการเจ็บปวดในระยะหลัง
- เมื่อมีก้อนริดสีดวงโป่งพองโผล่ออกมาขณะอุจจาระ หรืออาจทำให้เกิดอาการเลือดออก ขณะหรือหลังถ่ายอุจจาระได้ เนื่องจากการเสียดสีระหว่างอุจจาระกับเส้นเลือดที่โป่งพอง
- อาจมีอาการเจ็บปวดและมีอาการอื่นร่วม เช่น เวียนหัว หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม
- มักจะพบได้มากในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ดังนั้นผู้ที่มีอาการควรรีบพบแพทย์โดยด่วน
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคริดสีดวง
- เกิดจากการเบ่งอุจจาระเป็นเวลานาน
- ท้องผูกเรื้อรัง ขับถ่ายลำบาก
- ใช้ยาสวนอุจจาระหรือยาระบายบ่อย
- การตั้งครรภ์
- น้ำหนักเกิน
- ทานอาหารที่มีกากใย ไฟเบอร์น้อย
- ไอเรื้อรัง
- โรคในช่องท้อง เช่น ตับแข็ง ก้อนเนื้องอกในช่องท้อง มะเร็งลำไส้ใหญ่ ต่อมลูกหมากโต จะมีผลกระทบต่อหลอดเลือดดำที่ทวารหนักได้ด้วย
ริดสีดวงแยกได้ 2 ประเภท
- ริดสีดวงทวารจากภายใน (Internal Hemorrhoids) ริดสีดวงประเภทนี้มองไม่เห็นก้อนริดสีดวงทวาร แต่สามารถสังเกตได้จากหลังถ่ายอุจจาระจะมีเลือดหยดออกมา
- ริดสีดวงทวารจากภายนอก (External Hemorrhoids) แบบนี้จะเห็นก้อนเนื้ออกมาจากทวารหนักชัดเจนอาจดันกลับเข้าไปเองได้ หรืออาจดันกลับเข้าไปในทวารหนักได้
วิธีการป้ิองกันการเกิดโรคริดสีดวงทวาร
เริ่มต้นจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อให้ลดปัจจัยเสี่ยง ฝึกการขับถ่ายให้เป็นระบบ ฝึกเข้าห้องน้ำให้เป็นเวลา ไม่กลั้นอุจจาระ เพราะจะส่งผลให้ระบบขับถ่ายแปรปรวนทำให้ถ่ายได้ยากมากขึ้น อย่าให้เกิดอาการท้องร่วง ท้องเดิน หรือท้องเสียบ่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหารควรเลือกอาหารที่มีกากใยไฟเบอร์มากๆ ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน 8-10 แก้ว เพื่อให้อุจจาระอ่อนนุ่มถ่ายออกได้ง่ายขึ้น และวิธีที่ง่ายที่สุด อาจจะเลือกหาอาหารเสริมที่ช่วยเพิ่มกากใยไฟเบอร์ อาหารเสริมเพิ่มโพรไบโอติก ก็จะช่วยปรับสมดุลให้กับลำไส้ ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายมากยิ่งขึ้น